ผ้าเบรคเป็นอุปกรณ์สร้างแรงเสียดทานกดเข้ากับดิสก์หรือดรัมเบรค
โดยมีพื้นฐานคือ เนื้อวัสดุของตัวดิสก์หรือดรัมเบรคต้องแข็งเพื่อไม่ให้สึกหรอมาก
แต่ต้องมีผิวที่ไม่ลื่น ส่วนผ้าเบรคต้องมีเนื้อนิ่มกว่าตัวดิสก์หรือดรัม
เพื่อให้มีแรงเสียดทานสูงหรือสึกหรอมากกว่า เพราะเปลี่ยนได้ง่าย
โดยมีการผลิตขึ้นจากวัสดุผสมหลายอย่าง และอาจผสมกับโลหะเนื้อนิ่ม
เพื่อให้เบรคในช่วงความเร็วสูงได้ดี ในอดีตใช้แร่ใยหิน แอสเบสตอสเป็นวัสดุหลัก
ของผ้าเบรค เมื่อผ้าเบรคสึกจะเป็นผงสีขาวไม่เกาะกระทะล้อแต่สร้างมลพิษในอากาศ
ทำลายระบบหายใจของสิ่งมีชีวิต ปัจจุบันจึงหันมาใช้แกรไฟต์คาร์บอนแทน
เมื่อผ้าเบรคสึกจะมีผงสีดำออกมาเกาะเป็นคราบ ดูสกปรก แต่ไม่อันตราย
ผ้าเบรค |
นอกจากนี้ เราสามารถตรวจเช็คความหนาของผ้าเบรคได้จากความรู้สึกในการเหยียบเบรค เช่น อาจจะรู้สึกคันเหยียบเบรคต่ำกว่าปกติ หรือผ้าเบรคลื่นทำให้ต้องใช้แรงกดของเท้ามากกว่าที่เคยใช้ในการหยุดรถ นอกจากนี้ยังสามารถดูได้จากระดับของน้ำมันในกระปุกน้ำมันเบรก ถ้าพบว่าลดต่ำกว่าปกติ แต่ไม่พบการรั่วไหลของน้ำมันในกระปุกน้ำมันเบรค อาจเป็นไปได้ว่าผ้าเบรคบางลงมาก ทำให้แม่ปั๊มที่คาลิปเปอร์ต้องยื่นตัวออกมามากระดับของน้ำมันเบรคในกระปุกเลยยุบตัวลงมาด้วย
การยืดอายุการใช้งานของผ้าเบรค
- หมั่นตรวจเช็ค และเติมลมยางให้อยู่ในระดับที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์กำหนด
- ควรนำรถเข้าตรวจเช็คผ้าเบรกและระบบเบรกทุกๆ 3 เดือน หรือ 10,000 กิโลเมตร
- ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกทุกๆ 1 ปีหรือ 40,000 กิโลเมตร
- รักษาระดับความเร็วในการขับขี่ และระยะเบรก ไม่ควรเบรกด้วยความรุนแรง จะทำให้ผ้าเบรกสึกเร็วกว่าปกติ
- ควรเปลี่ยนผ้าเบรกชุดใหม่ตามกำหนด เพื่อความปลอดภัยในการเบรกหยุดรถ ช่วยยืดอายุการใช้งานของจานเบรก และลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถยนต์
- โดยปกติเมื่อรถยนต์ได้เปลี่ยนผ้าเบรกชุดใหม่จะมีระยะเวลา Bedding-in ประมาณ 200 กิโลเมตร คือไม่ควรลงเบรกกันอย่างรุนแรงเพราะจะทำให้ผ้าเบรกและจานเบรกเป็นรอย เวลาเบรกมีเสียงดัง ประสิทธิภาพในการหยุดด้อยลงไป จึงควรขับและใช้เบรกอย่างนิ่มนวลไปก่อนจนกว่าจะพ้นระยะ Bedding-in
ขอให้คุณหมั่นตรวจเช็คของคุณให้พร้อมใช้งานเสมอเพื่อยืดอายุการใช้งานของผ้าเบรค และความปลอดภัยในการใช้รถยนตร์ในการเดินทาง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น